ทำงานอย่างนักเจริญสติได้อย่างไร?


อย่าตั้งโจทย์ว่าทำอย่างไรจะเก่งงาน
อย่าตั้งโจทย์ว่าทำอย่างไรจะประสบความสำเร็จในงาน
อย่าตั้งโจทย์ว่าทำอย่างไรจะมีบารมีพอได้เป็นเจ้าของงาน

ตั้งโจทย์เสียใหม่ว่า ทำอย่างไรจะสนุกกับงาน
หากได้คำตอบข้อนี้ จะเท่ากับคุณได้คำตอบของโจทย์ ๓ ข้อแรกไปด้วย

อย่าตั้งโจทย์ว่าทำอย่างไรจะมีความสุขกับงานมากขึ้น
อย่าตั้งโจทย์ว่าทำอย่างไรจะมีสติอยู่กับงานดีขึ้น
อย่าตั้งโจทย์ว่าทำอย่างไรจะมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลในงานสูงขึ้น

ตั้งโจทย์เสียใหม่ว่า ทำอย่างไรจะให้งานเป็นเครื่องฝึกสมาธิ
หากได้คำตอบข้อนี้ จะเท่ากับคุณได้คำตอบของโจทย์ ๓ ข้อแรกไปด้วย

นักฟุ้งซ่านตั้งเป้าเอารางวัลข้างนอก เขาอาจได้รางวัลข้างนอก 
แต่ทั้งชีวิตอาจไม่รู้จัก ไม่ได้รับรางวัลจากตัวเอง

นักสมาธิตั้งเป้าเอารางวัลข้างใน เขามักได้รางวัลข้างนอกด้วย 
และทั้งชีวิตก็เหมือนตกรางวัลให้ตัวเองทุกวันด้วย

ตั้งเป้าเอารางวัลเป็นจิตอย่างเดียว เหมือนตั้งเป้าเอารางวัลทั้งหมดจากชีวิต!

ดังตฤณ
มีนาคม ๕๖


พูดเล่นกับเพ้อเจ้อต่างกันตรงไหน?


พูดเล่นเดี๋ยวเดียวจะมีสติกลับมาอยู่กับความจริงได้ทันที
แต่เพ้อเจ้อนานๆจะเลื่อนลอยจนมีสติกลับมาอยู่กับความจริงได้ยาก

การพูดมีส่วนสำคัญที่สุด
คนทั่วไปแทบจะชี้ได้เลยว่าใครมีสติมากหรือน้อย
เพียงด้วยการฟังเขาหรือเธอพูดไม่กี่ประโยค
หากตั้งใจฟังใครพูดแล้วรู้สึกว่าเราเองพลอยมีสติอยู่กับสิ่งที่เขาพูด
ก็แสดงให้เห็นว่าสติของเขามีอยู่มากกว่าหรือเสมอกับเรา
เมื่อรู้จักกันนานๆก็จะเห็นว่าเป็นคนวางแผนทำอะไรตามเป้าหมาย
จะพูดอะไรก็รู้อยู่ว่าต้องการสิ่งใด การงาน หรือพูดเล่นสนุก
สังเกตดูคนที่พูดเล่นสนุกนั้น พอได้เสียงหัวเราะจากคนฟัง
ก็จะเหมือนได้บรรลุเป้าหมาย จะไม่พล่ามต่อวกไปวนมา

ตรงข้าม หากฟังใครพูดไม่กี่คำ
แล้วเรารู้สึกมัวมน พร่าเลือน อยากเบือนหน้าหนี
เหมือนถูกรบกวนด้วยคลื่นความปั่นป่วนในจิตอันฟุ้งซ่านจัดของคนพูด
ก็สะท้อนว่าสติของเขาหรือเธอค่อนข้างเลอะเทอะ
เมื่อรู้จักกันนานๆก็จะเห็นว่าเป็นคนไม่ค่อยอยู่กับร่องกับรอย
หรือนึกอยากพูดอะไรก็พูด
บางทีก็พล่ามเพ้อเจ้อแบบไม่ต้องคิด ไม่ต้องตั้งสติใดๆ
ใครจะขำหรือไม่ขำ เรื่องจะมีสาระหรือไม่มีสาระ
พูดแล้วทำให้ใครรู้สึกดีหรือรู้สึกแย่ ก็เดินหน้าพูดมันต่อไป
แม้จะให้พูดเหลวไหลกับตัวเองเป็นวรรคเป็นเวรก็เอา

ถ้ารู้จักการพูดเพื่อให้ได้เป้าหมาย
พูดเพื่อให้เกิดประโยชน์ พูดให้คนฟังมีความสุข
แม้พูดเล่นวันละร้อยครั้ง ก็มีสติคุมอยู่ทั้งร้อยครั้ง
สรุปคือพูดเล่นกับเพ้อเจ้อ วัดกันตรงสติเป็นสำคัญครับ

ดังตฤณ
กุมภาพันธ์ ๕๖

วันสิ้นโลก! นึกถึงความตายสบายนัก


นึกถึงความตายสบายนัก
มันหักรักหักหลงในสงสาร
บรรเทามืดโมหันต์อันธกาล
ทำให้หาญหายสะดุ้งไม่ยุ่งใจ
(สุนทรภู่)

กลอนกินใจของสุนทรภู่บทนี้
คนทั่วไปฟังแล้วไม่ค่อยเข้าใจ
หรือเข้าใจแต่ทำใจให้คล้อยตามได้ยาก
เพราะส่วนใหญ่เมื่อนึกถึงความตาย
ก็มักไม่สบายใจกันอย่างยิ่ง
เพราะดูเหมือนความตายจะเป็นวาระที่น่ากลัวที่สุดในชีวิต
ใครสบายใจสบายคอได้ลงก็คงแปลก

คำว่า ‘สงสาร’ ในกลอนของสุนทรภู่
ไม่ใช่น่าสงสารหรือน่าเห็นอกเห็นใจ
แต่หมายถึง ‘วัฏสงสาร’ ซึ่งทางพุทธเรา
หมายถึงการเวียนว่ายตายเกิดแบบไม่รู้อีโหน่อีเหน่
เกิดอย่างไม่รู้ว่ามาจากไหน
ตายอย่างไม่รู้ว่าจะต้องไปไหนต่อ
รู้แต่ว่าตอนอยู่นั้นอยากทำอะไรก็ทำ
มันจะมีผลข้ามภพข้ามชาติหรือเปล่าไม่สน ไม่เชื่อ

เอาล่ะ! เหลืออีกสัปดาห์เดียวก็ถึงวันที่ว่ากันว่าโลกจะแตก
ถ้าดูข่าวภัยพิบัติมากๆก็อาจเสียวอยู่เหมือนกัน
เพราะมันเกิดอะไรที่โน่นที่นี่ถี่เหลือเกิน
แต่ก่อนแผ่นดินไหวหรือพายุเข้าไกลเมืองมนุษย์ไม่เป็นไร
เดี๋ยวนี้จู่โจมเข้าเป้าเลย เล็งกันตรงๆไม่อ้อมค้อมกันแล้ว

ผมไม่รู้เหมือนกันว่าวันที่ ๒๑ ธันวาคมนี้ จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
เพราะไม่ได้มีอนาคตังสญาณ
ไม่รู้เห็นเรื่องอนาคต โดยเฉพาะเกี่ยวกับเหตุการณ์ระดับโลก
ก็ได้แต่ติดตามข่าวคราว ความเป็นไปทั้งหลาย
ประสาคนที่ไม่รู้อะไรเกินขอบเขตกายใจของตัวเองเท่าไหร่

ให้พูดตรงไปตรงมา นาทีนี้รู้สึกว่าโลกแตกเป็นเรื่องไกลตัว
ส่วนกายแตก ใจแตกนี้ ใกล้ตัวกว่า เป็นไปได้จริงมากกว่า
เพราะผ่านประสบการณ์เฉียดตายมาหลายหน
คือ อยู่ดีๆร่างกายก็จะทำตัวเป็นเครื่องประหารตนเองบ้าง
หรือเหตุการณ์บนท้องถนนกลายเป็นวินาทีระทึกบ้าง

ผมมองว่าช่วงนี้เกิด ‘ความหวาดกลัวที่สูญเปล่า’ เป็นวงกว้าง
คือกลัวแบบไม่ได้ประโยชน์อะไรเพิ่มเติม
ไม่มีการระวังตัว ไม่มีการเตรียมใจ
มีแต่หวาดกลัว มีแต่จิตหม่นมืด หาความสบายใจไม่พบ
ทั้งนี้อาจเป็นเพราะคนเราขี้เกียจหาข้อมูลข้อเท็จจริง
แล้วก็ไม่อยากนึกถึงความตายกัน
เมื่อพูดคุยกันเรื่องโลกแตก จึงมีคนอยู่ ๓ ประเภทหลักๆ ได้แก่

๑) ด่า รู้สึกว่าตัวเองฉลาดเมื่อได้ด่าคนอื่นว่าโง่
ไปหลงเชื่อได้อย่างไร ข่าวโลกแตกเป็นแค่เรื่องลวงโลก
สิบปีมีครั้ง หรือหลายครั้งกว่านั้น
แต่เท่าที่เห็น คือคนที่ด่าคนอื่นว่าโง่นั้น
บางทีก็แอบกลัวเสียเอง อาจกล่าวได้ว่าที่ด่า
ก็เพราะโมโหที่มีคนทำให้ตนตระหนกตกตื่น
อันนี้ก็จนกว่าจะถึงวันทำนายแล้วไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ถึงจะกลับมาอาจหัวเราะดังๆเต็มเสียง
แล้วด่าต่อด้วยความสบายใจได้อีก

๒) ลนลาน โดยเฉพาะช่วงนี้
เห็นข่าวภัยพิบัติถี่ขึ้นทุกทีก็ยิ่งใจไม่ดี
ใครที่เคยนึกว่าโลกเป็นปกติก็ยังเปลี่ยนใจ
ทั้งนี้บางทีไม่ใช่เพราะแผ่นดินไหวหนักขึ้น
แต่เป็นเพราะแผ่นดินไหวใกล้เมืองใหญ่มากขึ้น
อย่างแซนดี้ที่เขย่านิวยอร์ก นิวเจอร์ซี่ไป
ก็ทำให้หวั่นไหวไปทั่วโลก
ก็ขนาดเมืองใหญ่เบอร์หนึ่งเขายังโดนได้
เมืองเล็กเมืองน้อยทั่วไปหรืออย่างเราๆจะไปเหลือหรือ?
ตามสถิติมีการบอกชัดว่าแผ่นดินไหวถี่ขึ้นผิดปกติจริงๆ
ไม่ใช่แค่ ‘มันไหวกันทุกวันอยู่แล้ว’ อย่างที่ปลอบๆกัน
เลยเหมือนเป็นลางที่ก่อความรู้สึกว่าภัยร้าย
คืบคลานใกล้ตัวเราและทุกคนเข้ามาทุกที

๓) ดีใจ มีคนไม่น้อยนะครับ รอทีเดียวล่ะ กับวันโลกแตก
ส่วนใหญ่จะมีปมในใจอยู่ก่อน ประเภทเบื่อโลกอยู่แล้ว
เหน็ดหน่ายกับชีวิตเต็มทนอยู่แล้ว
หรือรู้สึกเป็นลบกับตัวของตนและคนอื่นอยู่แล้ว
ประเภทประสบแต่ความล้มเหลว ซึมเศร้า ไม่มีความหวัง
คือพวกที่เชียร์ให้โลกแตกกันมากที่สุด

ยังมีคนประเภทอื่นอยู่อีก เช่น ไม่สนใจรับฟัง
เห็นเป็นเรื่องเหลวไหลหรือไกลตัว ก็ไม่รู้สึกรู้สาอะไร
นอกจากนี้ยังมีอีกประเภทที่รู้สึกถึงความเป็นไปได้
แต่ไม่กลัว ยังสบายใจอยู่
ประเภทนี้ไม่ค่อยจะพบได้จริง
กล่าวคือ พวกนี้ใช้ทุกวันในชีวิต
เพื่อเตรียมตัวเตรียมใจตายเรื่อยๆ
กระทั่งพร้อมตายอย่างสบายใจอยู่แล้ว

ที่ว่านี้ไม่นับแบบเอาไว้พูดเล่นๆ คิดเล่นๆว่า
ทำวันนี้ให้ดีที่สุด อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด นะครับ
แบบนั้นพอจวนตัว มีเหตุพิสูจน์ใจขึ้นมาถึงค่อยรู้ตัว
คนส่วนใหญ่รู้ตัวจริงๆว่ายังกลัว ยังไม่พร้อม
ยังเตรียมตัวไม่ดีพอ ยังไม่รู้จักความสบายใจที่จะตาย
ก็เมื่อใกล้ๆวินาทีสุดท้ายนั่นแหละ
เจอเรื่องจริงก็สั่นเป็นเจ้าเข้า
หาหลักยึดเหนี่ยวให้จิตใจไม่ทันเป็นส่วนใหญ่
ทั้งนี้เพราะความรักตัวกลัวตาย
มันเป็นรากของความรู้สึกยึดมั่นถือมั่นในการมีชีวิต
ที่เป็นสัญชาตญาณของสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย
ตั้งแต่เกิดกายของตนๆขึ้นมาแล้ว

ชาวไทยเป็นพุทธ
แต่เป็นพุทธในแบบที่ไม่รู้ว่าพุทธชวนรู้เรื่องอะไร
พุทธเรานี่ชวนคุยกันเรื่องเตรียมตัวตายกันถี่ที่สุด
สมัยพุทธกาลท่านเตรียมตายกันแทบทุกลมหายใจเข้าออก
หรือเดี๋ยวนี้ไปดูพระแถวธิเบตท่านอบรมกันก็ได้
พุทธในท้องถิ่นที่ไม่อบรมกันเรื่องเตรียมตัวตาย
ได้ชื่อว่าห่างพระธรรมเดิม
พากันเห็นการพูดคุยเกี่ยวกับความตาย
กลายเป็นเรื่องอัปมงคลกัน
พอถึงเวลาขึ้นมาถึงค่อยรู้ตัวว่า
ไม่เตรียมตัวนั่นแหละเรื่องอัปมงคลเป็นที่สุด

ส่งท้ายสักนิดหนึ่ง สัปดาห์หน้าผมยังรู้สึก
และคาดหวังว่าจะเขียน จากใจ บ.ก. ใกล้ตัว ได้ตามปกติ
แต่อย่างไรก็อยากฝากไว้ว่านี่เป็นโอกาสอันดี
ที่พวกเราชาวพุทธจะถึงเวลาสำรวจใจตัวเองกันดู
ถ้า ‘สมมุติ’ ว่าอะไรๆจะเกิดขึ้นจริง
เรามีความเตรียมพร้อมทางนามธรรมกันมากน้อยเพียงใด
ผมเคยเขียนหนังสือประกอบเสียงอ่านไว้ อ่านและฟังฟรี คือ
๗ วิธีตายอย่างสบายใจ
http://dungtrin.com/7ways
ข้อความต่างๆตั้งแต่บรรทัดแรกถึงบรรทัดสุดท้าย
น่าจะเหนี่ยวนำให้เข้ามาดูใจ สำรวจความพร้อมกันได้ครับ

โลกข้างนอกแตกไม่รู้จะเตรียมอะไรได้
มันสายเกินไปแน่ๆ
แต่โลกข้างในแตกนี่เตรียมแบบพุทธได้สารพัด
มาเตรียมตัวเตรียมใจเรื่องโลกข้างในที่ไม่แน่นอนกันดีกว่า
แล้วจะรู้ว่ามีวิธีตายอย่างสบายใจอยู่จริง
ไม่ใช่เรื่องหลอก ไม่ใช่เรื่องทำนายทึกทักกันไปเองเลย

ดังตฤณ
ใกล้วันที่ 21 ธันวาคม 2012

ฝึกดูเรายากกว่าฝึกดูเขา



ตอนคิดว่าใครดีไม่ดียังไง มีค่ากับใครไม่ยังไม่แน่
แต่ตอนคิดว่าตัวเราดีหรือไม่ดีเพียงใด
จะมีค่ากับเส้นทางกรรมของตนเองขึ้นมาทันที!

สังคมมนุษย์สร้างขึ้นมาด้วยการพูดคุยกัน
และกติกาอย่างหนึ่งที่ทำให้คุยกันได้เพลิดเพลิน
คือพูดกันเรื่องดีๆของเรา
หรือไม่ก็เรื่องเสียๆของคนอื่น

วิธีคิดของคนทั่วไป
จึงสร้างขึ้นมาในทิศทางมองออกนอกตัว
เห็นหรือฟังเรื่องเสียๆของใครจะจำไว้
เผื่อได้ใช้ เอาไว้ซุบซิบกัน
ส่วนเรื่องเสียๆของตัวเองจะทำเป็นลืม
และจะหน้าตึงถ้าใครสะกิดเตือนขึ้นมา

เส้นทางกรรมของคนส่วนใหญ่
จึงโน้มเอียงไปทางวจีทุจริต
และหลีกเลี่ยงเส้นทางมโนสุจริตแบบพุทธ
ที่ท่านสอนให้หมั่นพิจารณาตนเอง
ละโทษออกจากตน เพิ่มคุณให้แก่ตน
เจริญสติจนกว่าใจจะบริสุทธิ์

สรุปคือเส้นทางของสังคมตามธรรมชาติ
คือแรงดึงดูดให้ติดอยู่กับทุกข์
ส่วนเส้นทางแบบพุทธแท้ๆ
จะผลักดันให้ได้ไปเป็นสุขกันจริงๆครับ

ดังตฤณ
ตุลาคม ๕๕

วิธีถอนความเจ็บใจ



สิ่งที่น่าเจ็บใจที่สุด
คือการไม่สามารถถอนความเจ็บใจได้อย่างใจ

คนเราไม่อยากเป็นทุกข์
แต่ช่วยไม่ได้ที่มีเรื่องน่าเจ็บใจให้เป็นทุกข์อยู่ทุกวัน
และเวลาเจ็บใจขึ้นมา ก็ยากที่จะถ่ายถอนเสียด้วย
ทั้งที่บางทีไม่อยากเจ็บเหมือนทิ่มแทงตัวเองซ้ำซากเลย

วิธีแก้ความเจ็บใจของคนส่วนใหญ่จะเป็นการซ้ำเติมตัวเอง
คือ อยากหายเจ็บใจด่วน
ซึ่งก็จะต้องมารู้สึกในภายหลังว่าช่วยไม่ได้ที่มันไม่หาย
ไม่รู้จะทำยังไงให้มันหาย

ความจริงก็คือแค่อยากหายเจ็บใจก็พอแล้ว
และเมื่อเกิดความเจ็บ ไม่รู้จะทำอย่างไร ให้บอกตัวเองว่า
"ก็ไม่ต้องทำอะไร" แล้วจะรู้สึกเบาสบายขึ้นมาได้

จำอาการที่ "ไม่ทำอะไร" เอาไว้ครับ
มันโล่ง มันสบาย มันคลายใจ
แต่ถ้ามัวแต่ "ทำอะไร" อยู่นั่นแหละ
คือทิศทางเดียวกับการผูกใจอยู่กับเรื่องน่าเจ็บ
ย้ำคิดถึงเรื่องน่าเจ็บใจไม่เลิก
ทำนองเดียวกับสั่งตัวเองว่า "อย่าคิดถึงสีแดง"
พอย้ำสั่งอยู่อย่างนี้ เราก็จะคิดถึงสีแดงตลอดเวลา
แทนที่จะเลิกข้องแวะกับมัน

การไม่ทำอะไรในขณะที่เจ็บใจ
จะพัฒนาเป็นการเจริญสติขึ้นมาได้
ถ้ามีความเข้าใจพื้นฐานรองรับ
กล่าวคือมีการรู้ว่าใจเรากำลังทำอะไรอยู่ จึงเลิกทำเสีย
แล้วสติจะบอกเราเองว่ามันผ่านมาแล้วก็ผ่านไป
ไม่เห็นว่าความเจ็บใจจะเป็นเราที่ตรงไหน

ดังตฤณ
พฤศจิกายน ๕๕

โง่ลงเห็นๆ


ความโลภมากและความโกรธจัด ทำให้ไอคิวลดลงได้เกิน ๑๐๐ จุด

ถ้าเคยทำแบบทดสอบไอคิวมาหลายหน
คุณจะพบความจริงประการหนึ่ง คือ
ภาวะทางอารมณ์มีส่วนสำคัญมาก
ถ้ากำลังเครียดหรือตื่นเต้นอยู่
จะคิดอะไรไม่ค่อยออก ทั้งที่เคยคิดได้อย่างไหลรื่น

อาการอัดอั้นคิดไม่ออกจะลดคะแนนที่ได้อย่างชัดเจน
‘กิเลสทำให้โง่ลง’ ได้จริงๆ
ถ้ากำลังโลภหรือโกรธจนหน้ามืด
ลองถ้าใครเอาแบบทดสอบไอคิวมาให้ทำตอนนั้นจะเกิดอะไรขึ้น

ไม่ใช่แค่เรื่องความฉลาดแหลมคมในการแก้ปัญหาอย่างเดียว
แม้การตัดสินใจเลือกกระทำการบางอย่าง
บนฐานของความโลภและความโกรธ
ก็อาจโง่ได้เหมือนเด็กอนุบาลที่ยังไม่รู้ผิดรู้ชอบ

สรุปคือภาวะทึบๆของความโลภและความโกรธนั่นเอง
คือต้นเหตุของความโง่อย่างมหันต์ ทั้งชาติที่เห็นในนี้
และครอบคลุมไปให้ผลถึงชาติหน้าได้ด้วย
ใครที่ประมาทสั่งสมแต่ความโลภและความโกรธไม่เว้นวัน
ไม่หาทางลดทอนลงเลย ก็ได้ชื่อว่า
สั่งสมความโง่ให้พอกพูนเป็นภูเขาเลากาในวันหนึ่ง
ถ้าไม่ใช่ชีวิตปัจจุบันก็ชีวิตต่อไปนั่นแหละ

ดังตฤณ
พฤศจิกายน ๕๕

Buscar

 
Self is only illusion. Selflessness is the truth.
  อัตตาเป็นเพียงมายา อนัตตาเป็นความจริง ~ ว.วชิรเมธี
Nena Anatta Copyright © 2011-2013 | Contact us : NenaAnatta@gmail.com | Facebook : http://facebook.com/NenaAnatta